วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

รับทำแฟนเพจ เว็บไซต์ โลโก้ แบบ แกะหวาน

รับทำแฟนเพจ แบบแกะหวาน

บทความหมวดหมู่ใหม่นี้ ไม่ได้มีสาระแต่อย่างใด 555 (คำเตือน) สำหรับผู้ที่อยากทราบถึงการทำธุรกิจออนไลน์ คลิกดูหมวดหมู่อื่นได้เลย แต่สำหรับ บทความหมวดนี้ ก็จะมาอธิบายมั่ง เพ้อเจ้อมั่ง ถ้าใครอ่านแลวมาจ้างเรา ออกแบบแฟนเพจ ก็จะสามารถเข้าใจตรงกันนะจ๊ะครับ
สิ่งที่เป็นปัญหา ต่อการสื่อสารให้เข้าใจตรงกัน ระหว่าง ผู้ว่าจ้าง และแกะหวานเรา ก็คือ ธีม ของแฟนเพจนั่นเอง ตามหลักพจนานุกรม ว่าไว้ ธีมก็คือ แก่น แนว ธีมของเพจก็คือ แนว ภาพรวม ของเพจ ว่าให้อารมความรู้สึกใด ซึ่งการตีความธีม ก็คือความรู้สึก อารมณ์ล้วนๆ และอารมณ์คน การตีความของคนนั้นต่างกันมาก จากที่เรา รับทำแฟนเพจ มาได้สักระยะ ก็เคยเจอเช่น ลูกค้าบอกว่าต้องการแนวสวยๆ แต่พอเราทำอารมณ์ที่เราคิดว่าสวย ลูกค้าก็เห็นว่าดูหรูไป เราเลยใส่อารมณ์ น่ารัก แบ๊วๆ เข้าไป ลูกค้าก็ชอบใจ
ดังนั้น บทความนี้ เราก็นำเสนอ ตัวอย่างแบบ แบบคร่าวๆ มา ย้ำว่า เป็นความคิดเห็น เป็นการตีความจาก “แกะหวาน รับทำแฟนเพจ” เท่านั้น คนอื่นอาจจะตีความแบบอื่นๆ อีกมากมาย มันเป็นฟีลลิ่ง
แบบแรก แนวที่ลูกค้าวัยรุ่น ใช้งานกันมากที่สุด แบบ น่ารัก
รับทำแฟนเพจ
ถ้าแบ๊วมาก ก็บอกกันได้นะ
smile-kids1.jpg
น่ารัก มีนางแบบเกาหลี หรือ ตัวการ์ตูนล้วน
รับทำแฟนเพจ

รับทำแฟนเพจ แบบที่สอง แนว สวย ของใช้ความงาม
รับทำแฟนเพจ

รับทำแฟนเพจ แบบที่สาม หรูๆ
รับทำแฟนเพจ
อันนี้นางแบบฝรั่ง
รับทำแฟนเพจ

รับทำแฟนเพจ แบบที่สี่ เก๋ๆ
รับทำแฟนเพจ

รับทำแฟนเพจ

รับทำแฟนเพจ แบบที่ห้า แนววินเทจ
รับทำแฟนเพจ
นอกจากนี้ สามารถเลือกแนวทางการ แนวผสมๆ กึ่งสวย กึ่งหรู หรือ น่ารักเกาหลี แต่ฉากหลังวินเทจ อะไรก็ได้ ตามที่ต้องการ
รับทำแฟนเพจ
รับทำแฟนเพจ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่กล่าวมาเป็นแนวของเราเท่านั้นนะครับ ไม่ใช่หลักการสากลใดๆ ถึงจะไม่ได้อ่านบทความ เราพูดคุยกัน หรือเอาตัวอย่างให้ ส่วนใหญ่ก็เข้าใจได้ครับ ว่าท่านต้องการแนวไหน จากที่ผ่านมาก็มีน้อยครับ ที่สับสนกัน อย่างไรก็ดี แกะหวาน รับทำแฟนเพจ ก็จะพยายาม ทำงาน ปรับปรุงผลงาน ให้ดีขึ้น เพื่อลูกค้า ที่ต้องการเพจสวยๆ ต่อไป ตราบชั่วกัลปว…(นี่ก็เว่อร์ไป) ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจ ขอบคุณลูกค้าที่กลับมาใช้บริการ ขอบคุณมากๆๆๆๆๆ ทุกคนเลยนะครับ
สนใจ ใช้บริการ แกะหวาน รับทำแฟนเพจ ติดต่อเรานะครับ

วางแผนธุรกิจ 3 ระยะ

วางแผนธุรกิจ 3 ระยะ

หลายคนนะครับ เริ่มต้นชีวิต หาเงินเองด้วยการ เป็นมนุษย์เงินเดือน พอได้ไตร่ตรองดูแล้วก็คิดว่า อยากจะมีธุรกิจส่วนตัว เมื่อกระโดดเข้ามาทำธุรกิจ ปรากฏว่า คิดถึงสมัยที่เป็นพนักงานเงินเดือน อยากกลับมาทำงานบริษัทซะงั้น เพราะว่า สิ่งที่เขาทำอยู่ในปัจจุบัน คือ ขายของไปวันๆ ไม่ได้เติบโตเลย ได้เงินมาเป็นเดือนๆ ไม่ต่างจากสมัยเป็นพนักงานเท่าไหร่นัก หยุดขาย รายได้ก็ลด เพื่อนก็น้อยไม่เหมือน ตอนมีพวกเพื่อนขาเม้าส์ เฮฮากัน ในบริษัท ซ้ำร้าย อย่าว่าแต่ขายของไปวันๆ เลยครับ รายได้น้อยกว่าตอนเป็นพนักงานซะอีก หรือไม่ก็ติดลบ สิ่งที่พวกเขาขาด นอกจากเงิน หรือความสุข แล้ว นั่นก็คือ การวางแผน ที่ดีนั่นเอง
วางแผนธุรกิจ
วันนี้ แกะหวาน จึงจะมาพูดถึงเรื่อง การวางแผน 3 ระยะ ซึ่งจะทำให้เรากำหนดทิศทางของธุรกิจของเรา จะได้ไม่ต้องทำงานไปวันๆ
การ วางแผนธุรกิจ 3ระยะ ก็คือการวางแผน ตั้งแต่ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อกำหนดจุดมุ่งหมายที่เราต้องการภายในระยะเวลาที่กำหนด
แผนระยะสั้น นั้นเป็นการวางแผน ที่ต้องทำใน ปัจจุบัน (โดยมากจะวางไว้ภายใน 1 ปี) ซึ่งหลายคนที่ทำธุรกิจอาจจะทำอยู่ โดยไม่รู้ตัว โดยจะมุ่งเน้นในการ พัฒนาร้าน พัฒนาสินค้า สร้างตลาด แข่งขันกับคู่แข่ง พูดง่ายๆก็คือ ทำระบบของธุรกิจของเราให้ลงตัว ทำให้ขายของ ให้ได้นั่นเอง ระยะนี้ ก็สามารถชี้วัด ได้ระดับหนึ่ง ว่าเราจะทำต่อหรือไม่ เช่น กำหนด 1 ปี กับเงินทุนหนึ่งก้อน ถ้าเงินหมดก้อนนี้ หรือ ผ่านหนึ่งปี ยังไม่สามารถทำกำไรได้ ก็ถอยตัวออกมา เป็นต้น
สำหรับ แผนธุรกิจ ระยะปานกลาง เป็นการวางแผนเพื่อให้ ธุรกิจเรา โตขึ้น ขยายขึ้น โดยจะต้องใช้เวลา ดำเนินการ นานกว่าระยะสั้น (อาจจะเป็นแผนช่วง 1-3 ปี) เช่น ถ้าเราซื้อของมาขายในเพจครบปี มีฐานลูกค้ามากพอสมควรแล้ว เราก็เริ่มสร้างสินค้าแบรนด์ตัวเองออกมา หรือ การเพิ่มเครื่องจักรชุดใหม่ การขยายตลาด ไปต่างประเทศ เป็นต้น
แผนธุรกิจ ระยะยาว เป็นการวางแผน ตั้งแต่ 3-5 ปีขึ้นไป  โดยแผนนี้ จะกำหนดทิศทาง ของธุรกิจเรา ว่าสุดท้ายแล้วจุ ดมุ่งหมายของเราจะไปสู่จุดไหน ซึ่งมันอาจจะยิ่งใหญ่มากก็ได้ เช่น ตั้งไว้ว่าภายใน 5 ปี หลังจากสร้างสินค้าแบรนด์ตัวเองแล้ว จะเป็นผู้นำตลาด ขายดี อันดับหนึ่ง ให้ได้ หรือ จากขายของ สร้างแบรนด์แล้ว สุดท้าย จะขายสินค้า ในรูปแบบ แฟรนไชส์ เป็นต้น

เมื่อเรารู้แล้วว่า ระยะต่างๆ มีอะไรบ้าง เราก็มาเริ่ม วางแผนกัน โดยอาจจะ ลองจากระยะยาวก่อน แล้วมาเขียนระยะสั้น ระยะยาว อาจจะ เป็นแผนฝันหวาน สิ่งที่เราอยากจะมี อยากจะเป็น แต่ต้อง วิเคราะห์ดีๆนะครับว่า ถ้าถึงจุดนั้นแล้ว คุณจะมีความสุขหรือเปล่า จำไว้ว่า ต้องเป็นสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ ไม่ใช่ว่าผิดตั้งแต่จุดหมายแล้ว เช่น วางแผนระยะสุดท้าย ว่าจะเปิดร้าน ที่ใหญ่ที่สุด ในจังหวัดมีลูกน้องเยอะ พอเอาเข้าจริง ลูกน้องเยอะ เรื่องเยอะ ปวดหัว งานไม่คล่องตัว เป็นต้น หลังจากนั้น ก็มาวางแผนระยะสั้น เพราะระยะสั้น นั้นคือปัจจุบันครับ ทำอย่างไรให้ปัจจุบันอยู่รอดให้ได้ ระยะยาววางแผนไว้ สวยหรูว่าจะเปิดร้านนู่นนี่ แต่ระยะสั้น กลับทำไม่ได้ แพ้คู่แข่ง ขาดทุน ก็ไม่ต้องไปถึงไหนกัน เสร็จแล้ว เราก็วางแผนระยะกลางซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนไปสู่ ความสำเร็จในระยะยาวครับ ในการวางแผนนั้น แต่ละแผนต้องสอดคล้องกัน อย่าให้ขัดกันนะครับ ทิศทางต้องชัดเจน กำหนดเวลา ก็ต้องชัดเจนเช่นกัน ไม่ใช่ว่า มานั่งรอ คาดหวัง รอให้มันดีซะก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนแปลงอะไร ถ้าเราทำอะไรเดิมๆ ก็อย่าคาดหวังผลลัพธ์ใหม่ๆครับ
หลังจากนั้น ใส่รายละเอียดให้กับแผนนะครับ ลงลึกไปขนาดถึงงบการเงิน หมุนเงินอย่างไร ทุนจะพอต่อยอดเมื่อไหร่ หลายคนที่วางแผนดีกระทั่งเรื่องเดินบัญชีธนาคาร พอมาถึง ช่วงแผนระยะยาว ก็สามารถกู้เงิน มาลงทุนใหญ่โตได้
สุดท้าย ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ ฝันให้ใหญ่เข้าไว้ แต่ไม่เพ้อฝันครับ ลงมือ ใช้ความรู้ ความตั้งใจ เพื่อให้ถึงจุดนั้น ไม่มีก้าวแรก ไม่มีวันเดินถึง ขอให้ประสบความสำเร็จทุกคนครับ
สำหรับใคร ที่ต้องการสอบถาม หรืออยากทำการตลาดโดยใช้แฟนเพจสวยๆ
ทักมาได้เลยนะครับ แกะหวาน รับทำแฟนเพจ เว็บไซต์ โลโก้
http://sweetsheepwebdesign.com/

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

เทคนิคการ ปิดการขาย

การ ปิดการขาย

ลูกค้ามาถึงแล้วเชียว ทำไมถึงไม่ซื้อ ทั้งๆที่สนใจ บอกว่าจะเอาชัวร์ แต่ก็หายไปเลย ถ้าคุณเจอปัญหานี้แปลว่า มันอาจจะเป็นปัญหาที่ตัวคุณ ไม่สามารถ ปิดการขายได้นั่นเองครับ วันนี้แกะหวาน จะเสนอ เทคนิคเล็กๆน้อยๆ สำหรับ คนที่อยากขายเก่งนะครับ
ขั้นแรก ใส่หน้ากากก่อนนะครับ แม้ว่าคุณเคยเป็นคนขี้อาย หรือ พูดไม่เก่ง แต่เมื่ออยากทำธุรกิจแล้ว จะต้องพูดให้เป็นครับ
และยิ่งไปกว่านั้นคนทั่วไปจะมีความรู้สึกว่า พ่อค้า แม่ค้า จะต้องมาง้อลูกค้า ทำให้มีความรู้สึก อาย เขิน เวลาตัวเองมาเป็นคนขายซะเอง และการเขินอาย พูดไม่เป็นเนี่ย ก็เป็นการขับไล่ลูกค้าได้ดีทีเดียว ดังนั้นคนที่จะเริ่มขาย ต้องเข้าใจก่อน ว่าพ่อค้า แม่ค้า นั่นแหละ เป็นอาชีพทำเงินเลย ไม่ต้องอาย ที่จะเป็นคนขาย สร้างความมั่นใจ ถ้าคุณเข้าใจแล้ว แต่ยังเขินเวลาพูดอยู่ ก็พยายามฝึกฝนครับ ใส่วิญญาณ คิดว่าเป็นคนอื่นก็ได้ ความมั่นใจ พูดฉะฉาน เป็นสิ่งสำคัญมาก

โดยทั่วไปการขายมี ขั้นตอน ดังนี้
1.การค้นหาลูกค้าใหม่ๆ  2. การสร้างความสัมพันธ์  3. การตัดสินใจเลือกลูกค้า(กรณีต้องเลือก)  4. นำเสนอการขาย  5. ปิดการขาย  6. ให้บริการลูกค้า
ซึ่งคราวนี้จะพูด เรื่องการ ปิดการขาย ซึ่งหมายถึงว่า เรากับลูกค้าตกลงซื้อขายกันเรียบร้อยแล้ว
ปิด2
เทคนิคมาจากตำราฝรั่งครับ แบ่งเป็น 8 ข้อ
1.การทำให้ลูกค้ายินดีตกลงด้วยตัวเอง
ใช้ในขณะที่มีการสนทนา เพื่อให้ตลอดเวลาเสนอขายนั้น ให้ความรู้สึกบวก นั่นคือลูกค้าจะต้องเห็นด้วย เช่น
คุณชอบสีไหนครับ? สินค้าของเรามี 3 ขนาด S M L ต้องการขนาดไหนครับ ?
(อย่าตั้งคำถามให้ลูกค้าปฏิเสธเราได้)

2. สรุปล่วงหน้าว่าลูกค้าตัดสินใจซื้อแล้ว (อันนี้ต้องเนียนนะครับ ชัดมากเกินไปก็ไม่ได้) เช่น
จะให้ส่งของไปให้ที่ไหนครับ?

3.  ปิดการขายด้วยการให้ลูกค้าตัดสินใจในเรื่องรอง
เทคนิคนี้ทำเพื่อเบนการตัดสินใจของลูกค้าจากเรื่องหลักมาเป็นเรื่องรองลงมา เช่น สินค้าเราแพงกว่าร้านอื่น เราก็ไม่ต้องพูดถึงมากนัก แล้วไปพูดเรื่องอื่นแทน เช่น ร้านเราสต็อกสินค้าเอง ไม่ใช่พรีออร์เดอร์ ถ้าสั่งก็ส่งได้ทันที เป็นต้น

4. การลดทางเลือกให้เหลือเท่าที่จำเป็น
เมื่อสินค้าเยอะ และลูกค้าจะต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจ อาจจะต้องกลับไปคิดก่อน ซึ่งเมื่อถ้าเป็นแบบนั้น เขาจะกลับไปตัดสินใจระหว่างสินค้าหลายตัวของเรา และ สินค้าของร้านอื่นด้วยน่ะสิ ดังนั้น คนขายจะต้องใช้สมองอย่างเต็มที่ เพื่อทำความเข้าใจลูกค้า และ ผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ว่าสินค้าไหนเหมาะกับลูกค้า เมื่อลดทางเลือกให้ได้อย่างเหมาะสม ก็มีสิทธิ ปิดการขาย ได้สูง 
5. นี่เป็นโอกาสสุดท้าย
คำเตือนว่าควรเป็นเรื่องจริงครับ อย่าโม้เกินไป ใช้บ่อยเดี๋ยวลูกค้าจะไม่เชื่อถือ (ดังนั้นจึงควรจัดโปรต่างๆ ไว้ส่งเสริมการขายควบคู่กันไป) เช่น
ตอนนี้เหลือตัวเดียวนะคะ
วันนี้วันสุดท้ายของโปรโมชั่นนี้นะครับ พรุ่งนี้จะเป็นราคาปรกติครับ

6. นำเสนอสิ่งจูงใจพิเศษ
เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อทันที  ตอนนี้เลย เช่น
โปรวันเกิดแม่ค้าเองค่า ซื้อวันนี้ 1 ฟรี 1
จองซื้อรถยนต์ในงานมอเตอร์โชว์ รับส่วนลดแสนนึง (เฉพาะการจองในงานเท่านั้น)

7. ขอออร์เดอร์จากลูกค้า
ปิดการขายด้วยการถาม จำนวนการสั่งซื้อ เช่น
โอเคครับ ผมเช็คแล้วเหลือ สิบชิ้น รับกี่ชิ้นดีครับ

8. ปิดการขายด้วยการขจัดข้อโต้แย้ง
เอาไว้ใช้ในกรณีที่ลูกค้ามีข้อโต้แย้งหลักเพียงข้อเดียว แล้วเราสามารถขจัดข้อโต้แย้งนั้นได้ด้วยคุณสมบัติของสินค้าเรา เช่น คนซื้อ: กินชาเขียวส่งรหัสไปลุ้นจนเป็นร้อนในแล้วเนี่ย, คนขาย: ครับ งั้นสู้ด้วยเย็นๆครับ
แถมอีกนิด สำหรับพ่อค้า แม่ค้า มือใหม่ สิ่งที่ไม่ควรทำ เวลาขาย
  1. อย่าไม่รู้ – พูดง่ายแต่ก็ทำยาก ดังนั้นเราจะต้อง ศึกษาผลิตภัณฑ์ให้มากที่สุด อย่าแสดงความไม่เชี่ยวชาญออกมา เช่น ลูกค้า: อยากเอามาทาสิวแบบ สิวเห่อ แดง อ่ะค่ะ สินค้าตัวนี้ใช้ได้มั้ย, แม่ค้า: ไม่แน่ใจนะคะ เคยแต่สิวเล็ก จะเอาไปลองใช้ก่อนมั้ยคะ
  2. ถ้าไม่รู้ อย่ามั่ว – มั่วไปแล้วยิ่งแย่หนักเลย ถ้าไม่รู้จริงๆ ก็ขอเวลาหาข้อมูลมาให้
  3. อย่า Hard sale – ซึ่งก็คือ ขายแบบยัดเยียด จะขายให้ได้ คนซื้อจะอึดอัด
เช่น ตัวอย่างข้างล่าง ลูกค้ารู้สึกเลยว่า นี่ฉันหลงมาใช่มั้ย โดนจัดหนักเลย
ปิดการขาย
คิดง่ายๆว่า เราชอบอะไร ลูกค้าก็ชอบแบบนั้นแหละครับ ถ้าเร่งขาย ก็ต้องรู้จักการแตะเบรกบ้าง ฝึกไม่นาน ก็จะเป็นนักขายที่เก่งได้ครับ
สำหรับใคร ที่ต้องการสอบถาม หรืออยากได้แฟนเพจสวยๆ
ทักมาได้เลยนะครับ แกะหวาน รับทำแฟนเพจ เว็บไซต์ โลโก้
http://sweetsheepwebdesign.com/

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

การสร้างแบรนด์ 3 – การตั้ง ชื่อแบรนด์

การสร้างแบรนด์ 3.5 – ตั้งชื่อแบรนด์ มงคล โดย เลขศาสตร์

ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ด้วยกล ไม่ได้ด้วยกลก็ต้องด้วยมนต์คาถา
แกะหวาน เรายัง รับทำแฟนเพจ ไม่ได้เป็น พ่อหมอ ที่ไหน แต่จากบทความที่แล้ว การตั้งชื่อแบรนด์ สำหรับคนที่กำลังต้องการจะ ตั้งชื่อ แล้ว ชั่งใจ ไว้ระหว่างหลายๆชื่อ ไม่รู้ จะเอา ชื่ออะไรดี
วันนี้ อาจารย์แกะ จะมา นำเสนอ วิธี บวกลบ เลขศาสตร์ เพื่อให้ตั้งชื่อแบรนด์ มงคล ใครไม่เชื่อ ก็ไม่เป็นไร แต่ ทำไว้ ก็ไม่เสียหาย ตัวอย่างของชื่อร้านที่บวกได้เลขมงคล เช่น mercedes benz มีคำวิเคราะห์ดังนี้
ได้เลข 50 เป็นเลขดีมาก มีดวงเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และต่างประเทศ
รับทำแฟนเพจ แกะหวาน
วิธีดูนั้นก็ไม่มีอะไรมาก จับตัวอักษรไปแทนด้วยตัวเลข แล้วก็บวกกันให้หมดเลย
ดูแผนภาพตัวอักษรที่นี่
แฟนเพจ
พอบวกเสร็จ มาดูว่าตกเลขอะไร มีความหมายอะไร (อ่านไม่ได้คลิกที่รูปนะ)
ร้อย
ก่อนจะตาลายกัน ขอแนะเลขเด็ดๆเลยละกันครับ
เลขศาสตร์ ที่ให้คุณดีมาก : 2 , 4 , 5 , 6 , 9 , 14 , 15 , 19 , 23 , 24 , 36 , 41 , 42 , 45 , 46 , 50 , 51 , 54 , 55 , 56 , 59 , 63 , 64 , 65, 90, 95, 99, 100
เลขศาสตร์ ที่ให้คุณ ระดับดี : 20 , 32 , 40 , 44 , 69 , 79
นอกเหนือจากนี้ ถ้าใครอยากดูลึกไปอีกสเต็บนึง ก็ดูว่าตัวอักษรแต่ละตัวนั้นเข้ากับวันเกิดเราหรือไม่
โดยมีความหมายตามนี้
แฟนเพจ
จบแล้วครับ หวังว่าจะได้ชื่อดีๆกันทั่วหน้านะครับ แต่อย่างไรก็ดี ชื่อเป็นแค่เพียงส่วนประกอบหนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่ได้มีผลเลยหรือเปล่าก็ไม่รู้ เชื่อแล้วต้องไม่งมงายด้วยนะครับกว่าจะประสบความสำเร็จ จะต้องแลกมากับหยาดเหงื่อและสมอง คงไม่มีใครจะสำเร็จได้ด้วยแค่ชื่อดี ไว้ติดตามบทความจากแกะหวานได้ใหม่ เมื่อแกะเรามีเวลาชิลนะครับ

สำหรับใคร ที่ต้องการสอบถาม หรืออยากได้แฟนเพจสวยๆ
ทักมาได้เลยนะครับ แกะหวาน รับทำแฟนเพจ เว็บไซต์ โลโก้
http://sweetsheepwebdesign.com/

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

แกะหวาน รับทำเพจ จ้า

เข้าขมผลงาน รายละเอียดได้เลย
อยากได้แฟนเพจสวย โดดเด่น ขายดี ต้องที่นี่เลย

รับทำเพจ

การสร้างแบรนด์ 3 – การตั้ง ชื่อแบรนด์

การตั้ง ชื่อแบรนด์

จากบทความที่แล้ว อธิบายถึงการสร้างโลโก้ แต่ลืมครับ ก่อนที่จะทำโลโก้ เราต้องคิดชื่อของแบรนด์ซะก่อน
ชื่อของแบรนด์นั้นก็สำคัญมาก เพราะเป็นเสมือนชื่อของตัวเรานี่เอง เป็นชื่อที่จะเป็นที่จดจำของลูกค้า การตั้งชื่อก็สามารถสรุปวิธีขั้นต้นมาได้ดังนี้

1. กฎสากล 6 ตัวอักษร 3 พยางค์

เป็นกฏในต่างประเทศที่ไว้ตั้งชื่อภาษาอังกฤษ ซึ่งจะต้องไม่เกิน 6 ตัวอักษร และออกเสียงไม่เกิน 3 พยางค์
มีจุดประสงค์เพื่อให้ชื่อกระชับ ออกเสียงง่าย จำง่าย ต้องติดปากคนทั่วไป เช่นแบรนด์ดังๆ อย่าง Nike Dior
ส่วนชื่อที่เป็นภาษาไทย ก็ควรจะคำนึงถึงความสั้นกระชับเช่นกัน เช่นแบรนด์อย่าง Xerox, มาม่า หรือ แฟ้บ ก็สามารถติดปากจนเป็นชื่อเรียกแทนผลิตภัณฑ์ได้เลย
สร้างแบรนด์แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อมีแบรนด์เกิดขึ้นมากมาย การทำสิ่งที่แตกต่างก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราโดดเด่น ปัจจุบันจึงมีแบรนด์ที่มีชื่อยาวๆออกมาให้ได้เห็นกัน เช่น โชกุบุสสึ โมโนตาการิ
ดังนั้น เราอาจจะไม่ต้องซีเรียสกับจำนวนอักษรและพยางค์มากนัก คำนึงถึงความเหมาะสมดีกว่า

2. เรียบง่ายเข้าไว้

การที่จะทำให้ชื่อของแบรนด์เป็นที่จดจำ เราควรที่จะตั้งชื่อที่ ง่ายๆ เข้าถึงง่าย จดจำได้ง่าย เช่น จะขายครีมผิวขาว White Shadow (สโลแกนอาจจะประมานว่า ขาวยันเงา 55) ซึ่งจะง่ายกว่า ชื่อแบบ International beauty cream by ja หรือกระทั่ง KFC ก็เป็นการย่อชื่อจากชื่อเก่า Kentucky Fried Chicken การตั้งชื่อที่สะกดยาก ออกเสียงยากนั้นสมควรหลีกเลี่ยง
เพราะอย่างไรก็ตาม เราต้องการให้ลูกค้าเซิร์จหาร้านเราได้ง่าย

3. แตกต่างเด่นกว่า

ชื่อดีๆมีมากมาย แต่การจะตั้งชื่อ เราจะต้องดูคู่แข่งด้วย เพื่อโดดเด่นแตกต่าง แถมถ้าชื่อเหมือนเกินไป จะมีภาพลักษณ์เป็นแบรนด์เลียนเช่น ทำน้ำอัดลม ยี่ห้อเป๊บซ่า แม้เราจะเถียงให้ตายว่าคิดใหม่ๆ ไม่ได้เลียนแบบ ยังไงก็ไม่มีคนเชื่อเราแน่นอน หรือการใช้ชื่อที่ คนใช้กันเยอะแยะทั่วไป หรือชื่อโหล ก็ทำให้เราไม่เด่น เช่น ภาพด้านล่าง ร้านขายครีมมากมาย ร้านที่คุณจำได้คือร้านไหน
สร้างแบรนด์
ลูกค้ามากมาย ที่แวะเวียนเข้ามาที่ร้านเรา และยังไม่ได้ซื้อสินค้าในทันที เขาจะกลับไปพิจารณา หรือกลับไปเก็บเงินก่อน พอเขาพร้อมซื้อ เขาก็จะกลับไปหาสินค้าแบรนดฺที่เขาจำได้ ซึ่งเมื่อเราแตกต่างก็ยิ่งได้เปรียบ

4. เลือกแนวทางการตั้งชื่อ

ซึ่งจะแบ่งได้หลายวิธี
วิธีแรก ใช้แนวคิด ตั้งชื่อโดยบรรยายธุรกิจของเรา เช่น Microsoft, Miss Lily, Master card หรือ ชื่อแบรนด์ของพี่สาวแอดมินเอง ร้านเค้กชื่อ “ลองชิมซิเออ” ^^
วิธีที่สอง ชื่อที่ไม่เกี่ยวกับเราเลย แต่ปลุกเร้าได้ สื่อความหมายได้ เช่น Big C (C มาจาก customer)หรือ แกะหวานของเราก็เช่นกัน มีความหมายที่ไม่เกี่ยวกับงานเลย (แต่น่ารักนะ)
วิธีที่สาม ชื่อที่ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย แต่ว่าจำได้ง่าย เช่น Google
วิธีที่สี่ เอาวิธีข้างต้นมาผสมกัน และอาจจะเล่นคำลงไป เพื่อให้จำง่าย เช่น salz (อ่านว่าเกลือแต่จงใจสะกดด้วยตัว z)หรือ FCUK (ถ้าสลับ Cกับ U ก็จะเป็นคำล่อแหลม แต่กลับทำให้จำง่าย กลายเป็นแบรนด์ที่นิยมของวัยรุ่นไปเลย)

5. สร้างชื่อที่มีลักษณะเป็น Platform เพื่อต่อยอดสินค้าและบริการ

หมายถึงการตั้งชื่อกลางๆเพื่อเป็นชื่อแบรนด์หลักที่สามารถเติมชื่อพ่วงท้าย กลายเป็นแบรนด์ย่อยๆของสินค้าใหม่ๆได้ เช่น Sony แตกเป็น Sony music, Sony computer entertainment
มีข้อดีคือ เราจะประหยัดทั้งงบ ทั้งเวลา เพราะแม้เราจะมีแบรนด์สินค้าตัวใหม่ขึ้นมา ยังไงคนก็จดจำแบรนด์ใหญ่ของเราได้อยู่แล้ว
นอกจากนี้การตั้งชื่อแบรนด์นั้นก็มีข้อที่ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน
1. อย่าพยายามเลียนแบบชื่อแบรนด์คนอื่น แม้จะแค่คล้ายๆก็อาจโดนฟ้องกรณีสร้างแบรนด์ให้เกิดความสับสนว่าร้านใครเป็นร้านใครแน่ แย่กว่านั้นถ้าลูกค้ารู้ว่าเราคือแบรนด์เลียนแบบ ภาพลักษณ์ก็ยิ่งลงเหวไปใหญ่
2. อย่าใช้ชื่อสกุลตัวเองมาตั้ง เพราะทำให้จำยาก แต่ก็ไม่แน่เสมอไป เช่น แม่ประนอม ครัวเจ๊ง้อ เจ๊เล้ง ฯลฯ
3. อย่าตั้งชื่อโดยใช้คำฮิตๆช่วงนั้น เพราะมันจะมาเร็วแต่ไปเร็ว เมื่อหมดความดัง เช่น ยังจำคลิปเด็กที่ดังข้ามคืน โดยมีวลี “เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่” ได้มั้ย ถ้ามีใครเอาชื่อ อังคณา ไปใช้เป็นชื่อแบรนด์ตอนนั้นก็คงจะดังเร็ว แต่ปัจจุบัน ไม่มีใครจำได้แล้ว
4. เลี่ยงชื่อที่มีผลต่อความเชื่อ ความเปราะบางละเอียดอ่อนของใจคน อย่างการเมืองหรือศาสนา เพราะอาจโดนต่อต้านจากสังคมไม่มากก็น้อย เช่น การเมืองปัจจุบัน ถ้าเราตั้งชื่อให้รู้ว่าเราสีเสื้ออะไร อยู่ฝ่ายไหน ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มากินร้านเราแน่นอน


สำหรับใคร ที่ต้องการสอบถาม หรืออยากได้แฟนเพจสวยๆ
ทักมาได้เลยนะครับ แกะหวานรับทำแฟนเพจ
 

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

การสร้างแบรนด์ 2 – การทำ โลโก้

การทำ โลโก้

โลโก้ มาจากคำเต็ม Logotype ก็คือสัญลักษณ์ของแบรนด์ของสินค้าเรานี่เอง การที่จะเริ่มทำธุรกิจหรือเปิดทำการดำเนินกิจการใดก็ตาม ควรจะต้องมี โลโก้ ประจำตัว เพื่อเป็นการความหมายต่อสาธารณชน เตือนภาพจำ ให้ลูกค้าระลึกถึงเราได้ง่ายขึ้น รูปแบบ โลโก้ ที่ดีที่สุดนั้น จึงไม่สามารถสรุปออกมาได้อย่างตายตัว บางแบรนด์ก็ออกแบบ โลโก้ ให้มีชื่ออยู่กับสัญลักษณ์ บางแบรนด์ก็มีแค่สัญลักษณ์
โลโก้
โลโก้ ในปัจจุบันถูกออกแบบมาให้ยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนใช้กับงานในหลายรูปแบบมากขึ้น
โลโก้
โดยทั่วไป สิ่งที่ต้องคำนึงถึงการออกแบบ โลโก้ ก็คือ ตัวอักษร ภาพประกอบ สี แต่อย่างไรก็ตามจุดเด่นของ โลโก้ ไม่ควรมีมากเกินไป แค่จุดเดียวก็ถือว่าโอเคแล้ว นอกจากนี้การออกแบบจะต้องลอง มองหลายมุมด้วย ว่าสามารถมองเป็นอย่างอื่นที่เกิดภาพลบได้หรือไม่
โลโก้
ปัจจุบันนั้น มีคนมากมาย ที่ต้องการ โลโก้ ที่มีสีสันสวยงาม ลักษณะสวย ไปแปะบนปกก็สวยงามเหมือนกับเป็นของประดับป้ายโฆษณาของเรา โดยลืมความสำคัญที่แท้จริงของมัน ซึ่งจริงๆแล้ว โลโก้นั้นจะต้องมาจากความตั้งใจ ผ่านขบวนการทางด้านศิลปะ ตั้งแต่การวางรูปแบบ ความหมาย รูปลักษณ์ มีที่มาที่ไป สามารถอธิบายรายละเอียดความเป็นมาได้ในภายหลัง ดึงจุดที่เป็นภาพจำออกมาได้ เมื่อลูกค้าเห็น โลโก้ ไม่ใช้จะรับรู้ถึงความสวยงามของป้ายสินค้า แต่จะต้องทำให้ลูกค้านึกถึงสินค้าและการบริการที่ดี ตัวตน ของแบรนด์เรา ผ่านโลโก้นั้นๆ
โลโก้

สรุป ยังคงต้องบอกว่า โลโก้ ไม่สามารถบอกได้ตายตัวว่าแบบไหนถึงจะดีที่สุด แต่อย่างน้อยก็สามารถบอกได้ว่า โลโก้ ที่ดีนั้นจะต้องมีคุณสมบัติดังนั้น
โลโก้ ต้องสื่อตัวตนได้
โลโก้ ต้องเป็นที่จดจำ
โลโก้ ต้องสื่อได้แม้ไม่ได้ใช้สีสัน
โลโก้ ต้องสื่อได้แม้ขนาดเล็กๆ


สำหรับใครที่ต้องการให้ แกะหวาน ออกแบบ โลโก้ ให้
ทักมาได้เลยนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

วิธีขายของออนไลน์ 4 – รูปสินค้า แบบไหน ถึงขายดี

การขายสินค้าออนไลน์นั้น รูปสินค้า นั้นมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อมากเลยทีเดียว

ผลิตภัณฑ์บางอย่างแม้ว่าจะใช้ดี คุณภาพสูงแค่ไหน แต่ถ้าสื่อถึงลูกค้าไม่ได้ รูปสินค้า ไม่สวย ก็ทำให้ลูกค้าไม่สนใจเลย ยิ่งถ้าเราทำโฆษณา เรามีโอกาสที่จะดึงคนเพียงมี่วินาทีเท่านั้นที่เขาปราดตามอง และตัดสินใจโดยการมองครั้งแรกว่าสินค้านั้นเป็นของน่าสนใจ หรือว่า เป็น “ขยะ” สำหรับเขา บทความนี้จะสรุป รูปสินค้าที่ดี เปรียบกับของที่ไม่ดี มาลองดูกัน
ปัจจัยแรก ชัด-ดี/ เบลอ-ไม่ดีรูปสินค้า
หลายคนที่ทำการขายของออนไลน์นั้น บางครั้งก็ไม่มีความรู้เรื่องของโปรแกรมตกแต่งภาพต่างๆ การตัดต่อด้วยตัวเอง ก็ทำให้ รูปสินค้า เหล่านั้นเบลอ โดยไม่รู้ตัว หรือไม่ก็ผิดตังแต่ขั้นตอนการถ่ายรูปแล้ว ผลที่ได้ การที่รูปเบลอ ไม่ชัด หรือภาพมืด ย้อนแสง ทำให้สินค้าเราดูด้อยค่าไปเลย ดูไม่มืออาชีพ ไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้นควรต้องใส่ใจอย่างมาก (ความรู้เพิ่มเติม การส่งรูปสินค้าทางเฟสบุ๊คนั้น ความชัดของภาพจะดร็อปลงทันที ดังนั้นถ้าจะส่งให้ทำเป็น winzip หรือ winrar ก่อนนะครับ)
ปัจจัย 2 พาดหัวข่าว-ดี/ ยัดเยียดข้อความ-ไม่ดี
รูปสินค้า
สำหรับคนที่ลงรูปสินค้าอย่างเดียวก็ถือว่าโอเคแล้วครับ แต่สำหรับคนที่ต้องการใส่ข้อความลงภาพด้วย พยายามที่จะให้ข้อความนั้นมีลักษณะเหมือนการพาดหัวข่าวนะครับ ใช้ภาพและข้อความสั้นๆนั้นๆดึงคนเข้ามาดูรายละเอียดในเว็บเราอีกที สิ่งที่ไม่ควรทำคือ ยัดเยียดข้อความ ทุกรายละเอียด เข้าไปในรูป นอกจากคนไม่อ่านแล้ว ยังทำให้รูปดูไม่สวย ไม่ดึงดูดอีกด้วย
ปัจจัย 3 สดใหม่-ดี/ซ้ำๆ-ไม่ดี
หลายครั้ง ที่ผู้ขายสินค้าประเภทที่รับมาขายต่อ เช่น ระบบดาวไลน์ ตัวแทนจำหน่าย ฯลฯ จะได้รูปจากต้นสายและนำรูปนั้นไปใช้เลย ซึ่งมันทำให้คนที่เห็น รูปสินค้า เหล่านั้น เกิดอาการเบื่อขึ้นมา (แต่ถ้ารูปสวยๆจากแบรนด์ดังๆก็พอโอเคนะครับ) และลูกค้าบางคนก็มีทัศนคติที่เป็นลบกับของที่รับมาขายต่อด้วย  พาลทำให้เขาไม่สนใจรูปภาพนั้นๆเลย ดังนั้นไม่ว่าสินค้าเราจะใหม่ หรือรับมาก็ดี เราก็ควรจะจัดการถ่ายรูปใหม่ๆ รีวิวใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้เกิดความสนใจของลูกค้า
ปัจจัย 4 มีชีวิต-ดี/ตาย-ไม่ดี
รูปสินค้า
รูปสินค้าที่ดูสดชื่น ดูแล้วยิ้ม อาจจะต้องใส่ “นางแบบ” เข้ามาด้วย อาจจะหาแค่คนธรรมดา ที่ดูดีหน่อย ทำให้สินค้าดูน่าเชื่อถือ ดูว่าแม่ค้าถ่ายเอง มีของจริง ทำธุรกิจจริง ทำให้สินค้าดูชุ่มชื้น (ลูกค้าแฟนเพจของเรา เคยบอกว่า รูปสินค้าที่ถ่ายตัวเอง ขายดีกว่าที่ถ่ายจากตัวหุ่นเยอะเลยครับ) นอกจากนี้แบ็คกราวก็สำคัญครับ แม้ไม่มีนางแบบ แต่ถ้ารวมๆดูสดใสก็โอเค แม้ว่าเราอยากได้รูปล้วนๆพื้นขาวก็จัดแสงให้สดใส แสงธรรมชาติก็ได้ ก็ดูสวยแล้ว แต่ถ้าเราเอาแบ็คกราวที่ดูแล้วไม่สดใส หดหู่ ก็ทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่ดีกับสินค้าไปด้วย
นอกจากพื้นฐานคร่าวๆแล้ว ลองมาดูเทคนิคการจัดที่ถ่าย รูปสินค้ากัน
ให้เราใช้กระดาษ 100 ปอนด์ สีขาว หรือดำก็ได้ มาปูตรงมุมระหว่างกำแพงและพื้นเพื่อให้ไม่เห็นรอยต่อ ตามรูป (รูปจากpantipนะครับ)G1566033-2
ให้ถ่ายในร่ม โดยใช้แสงธรรมชาติจะดีที่สุดครับ แสงเข้าด้านข้าง หรือ 45 องศา ให้ภาพดูมีมิติ
ใช้กล้อง พร้อมขาตั้ง เพื่อไม่ให้ภาพสั่นหรือ ถ้าไม่มีกล้อง ใช้มือถือที่ชัดหน่อยก็ได้ครับ

มีเทคนิคอีกมากมาย ที่จะถ่ายรูปสินค้าในแต่ละประเภทให้สวย น่าสนใจ ควรใช้เวลาหมั่นศึกษาไว้ครับ จำไว้นะครับ รูปสวย ดึงดูดลูกค้าได้ ก็จะขายได้ครับ
ถ้าอยากทำแฟนเพจ และปรึกษาการสร้างร้านให้ขายได้ ติดต่อเรา แกะหวาน รับทำแฟนเพจ

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

วิธีวิเคราะห์ รู้เขา รู้เรา SWOT analysis

จะขายของเริ่มต้นอย่างไร คนหลายคนมีปัญหาเหล่านี้ วันนี้เราจะมาแนะนำ วิธีที่เอามาวิเคราะห์ ชื่อว่า SWOT analysis

SWOT analysis คือการวิเคราะห์จุดเข็งและจุดอ่อนขององค์กร โดยวิเคราะห์ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกของเพื่อที่จะใช้เป็นข้อมูลในการวางกลยุทธ์ให้เหมาะสม ซึ่งไม่ว่าองค์กรขนาดใหญ่หรือเล็กก็ยังใช้วิธีนี้วิเคราะห์แล้วประสบความสำเร็จ ดังนั้นทำไมร้านแบบเล็กๆ ออนไลน์ ของเรา ถึงจะใช้วิธีที่มีประสิทธิภาพวิธีนี้ไม่ได้กันล่ะ
เอาล่ะครับ เรามารู้จักกับ SWOT กันก่อน คำๆนี้มาจาก ตัวย่อภาษาอังกฤษ ดังนี้
S มาจาก Strengths หมายถึง จุดเด่นหรือจุดแข็ง ซึ่งขอเน้นนะครับว่ามาจากปัจจัยภายในองค์กร เช่น เราเป็นผู้ผลิตเอง เราถนัดสิ่งนั้นมาตั้งแต่รุ่นพ่อ
W มาจาก Weaknesses หมายถึง จุดด้อยหรือจุดอ่อน ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยภายในเช่นกัน เป็นปัญหาหรือข้อบกพร่อง เช่น เรามีทุนน้อย สต็อกของไม่ได้ หรือสกิลไม่มากพอ
O มาจาก Opportunities หมายถึง โอกาส ซึ่งเกิดจากปัจจัยภายนอก เน้นนะครับว่าภายนอก เป็นผลจากการที่สภาพแวดล้อมภายนอกเอื้อประโยชน์หรือส่งเสริม เช่น เฟอร์บี้ดัง เราก็มีโอกาสเอามาขาย
T มาจาก Threats หมายถึง อุปสรรค ซึ่งเกิดจากปัจจัยภายนอก เป็นข้อจำกัดที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น คู่แข่งล้นตลาด เทปเพลงล้าสมัยขายไม่ได้ต้องเปลี่ยนเป็นCD เป็นต้น
สรุปแล้ว การวิเคราะห์ SWOT ก็คือการวิเคราะห์จากสภาพการณ์ 2 ด้าน คือ ภายในและสภาพการณ์ภายนอก โดยวิเคราะห์ทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน เพื่อให้รู้เขา รู้เรา
SWOT

ลองฝึกวิเคราะห์ SWOT สำหรับธุรกิจของเราดูนะครับ
เริ่มต้นด้วย S กันก่อน
– ถามตัวเองนะครับ ว่าเรา จุดได้เปรียบของเราคืออะไร
– อะไรคือสิ่งที่องค์กรของคุณทำได้ดีกว่าคู่แข่ง
– เราสามารถที่จะทำต้นทุนต่ำๆกว่าคู่แข่งหรือไม่
– ลูกค้ามองเห็นเราเป็นยังไง สิ่งที่เขามองคือจุดแข็งหรือไม่
– ปัจจัยอะไรที่ทำให้เราขายได้
คำถามเหล่านี้ทำให้เราสามารถหาข้อได้เปรียบจริงๆ (เพราะเทียบกับคู่แข่งแล้ว ไม่ใช่คิดเอาเอง) และยังคิดในมุมลูกค้าได้อีกด้วย เช่น คุณขายเสื้อผ้าแฟชั่นได้ และคิดว่าสามารถหาเสื้อจากแหล่งที่ทุนต่ำกว่าคู่แข่งได้ นอกจากนี้ยังมีความชื่นชอบแฟชั่น จนดูเสื้อผ้าได้เก่ง ลูกค้าเข้ามาทีไรก็เห็นแต่เสื้อสวยๆ แนะนำลูกค้าได้ตลอด มุมมองของลูกค้า ก็จะเห็นว่าเราคือผู้เชียวชาญด้านเสื้อผ้าแฟชั่น ซึ่งมองจุดแข็งเรา เป็นต้น
จากนั้น วิเคราะห์ W จุดด้อยของเรา กันต่อเลย
– เราควรปรับปรุงอะไร
– อะไร คือ สิ่งลูกค้ามองว่า นี้คือจุดอ่อน
– ปัจจัยอะไร ที่จะทำให้ยอดขายของคุณตก

คำถามเหล่านี้มีไว้ให้วิเคราะห์จุดด้อยของเราที่คู่แข่งมีเหนือกว่าเรา และมองในมุมมองของลูกค้า เช่น เราขายครีมบำรุงผิวโดยใช้รูปของเจ้าอื่นมาแปะเอา ซึ่งรูปถ่ายออกมาทั้งเบลอ ทั้งไม่น่าเชื่อถือ (มองในมุมลูกค้า คือไม่เชื่อถือเรา) ในขณะเดียวกันคู่แข่งกลับมีเทคนิคการนำเสนอ การถ่ายภาพที่ดี มีการจ้างนางแบบมาถ่ายเอง ภาพสวย คมชัด ดูน่าเชื่อถือมาก ทำให้คู่แข่งขายดี ส่วนเราขายได้น้อยลง
หลังจากนั้นมาวิเคราะห์ O โอกาสของเรากัน
– อะไร คือ โอกาสที่ดีเราสามารถมองเห็นมันได้
– แนวโน้มของธุรกิจ ทิศทางพฤติกรรมของลูกค้าเป็นอย่างไร
การที่จะมองโอกาสเหล่านี้เราอาจจะต้องรอบรู้สักนิด ฟังข่าวสักหน่อย เราถึงจะมองเห็นมันนะครับ เช่น
การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ซึ่งเราจะต้องคิดว่าเราจะสามารถ ใช้โอกาสนั้นๆทำให้เราเหนือกว่าคู่แข่งได้มั้ย เช่น iphone รุ่นใหม่จะมา เลยเอาเคสรุ่นใหม่มาขายก่อนใคร หรือ แกะหวาน เล็งเห็นว่า facebook มียอดคนใช้เพิ่มขึ้นทุกวัน เลยมารับออกแบบแฟนเพจ เป็นต้น ^^
สุดท้ายคือ วิเคราะห์ T อุปสรรค โดยตั้งคำถามว่า
– อุปสรรคที่อยู่ตรงหน้าคุณ คือ อะไร
– คู่แข่งของเรานั้น กำลังทำอะไรอยู่
– คุณภาพและมาตรฐานที่กำกับสินค้าของเรา มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
– เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอันตรายกับเรามั้ย
จากคำถามนี้ ทำให้เราสามารถวางแผนที่จะหลีกเลี่ยงอันตราย หรือปรับตัวตามได้ เช่น คู่แข่งเรามีโปรโมชั่น ส่งรหัสใต้ฝาชาเขียวลุ้นล้าน ยอดเราตกแน่ๆถ้าเราไม่ทำโปรบ้าง (อิชิตันกับโออิชินั่นเอง) หรือการเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำก็เป็นอุปสรรคของเราเช่นกัน หรืออาจจะเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ทำให้ร้านเช่า VDO เปลี่ยนไปเป็นร้านเช่า CD และ DVD เป็นต้น
สำหรับเรื่องของ SWOT ก็จบลงเท่านี้ ซึ่งความจริงแล้วสามารถลงลึกได้มากกว่านี้อีกเยอะทีเดียว แต่สำหรับเบื้องต้น ก็สามารถเอาความรู้นี้ไปใช้ได้ อยากให้พ่อค้าแม่ค้าทุกคน ลองเอาไปประยุกต์ใช้ดูนะครับ จะสามารถทำให้เรารู้สาเหตุแห่งการ ขายได้ หรือ ขายไม่ได้ จะขายต่อมั้ย ทำแบบไหนถึงจะขายดี แกะหวานเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ ขอให้ขายดีๆกันทุกคน


ถ้าอยากทำแฟนเพจ และปรึกษาการสร้างร้านให้ขายได้ ติดต่อเรานะครับ